รู้จักกับทีวีแบบต่างๆ เลือกทีวีแบบไหนดี? แบบไหนดูทีวีดิจิตอลได้?
https://outdoclub.blogspot.com/2014/01/HowToDigitalTV.html
รู้จักกับทีวีแบบต่างๆ เลือกทีวีแบบไหนดี? แบบไหนดูทีวีดิจิตอลได้?
ดูทีวีดิจิตอล ซื้อทีวีแบบไหนดี LCD,LED หรือ Plasma
จะซื้อทีวี LCD, LED หรือ Plasma
ถึงวันนี้หลายๆคนที่กำลังรอลุ้นกับทีวีดิจิตอลว่าจะมีหลากหลายช่องมาให้ดูเพิ่มมากกว่าเดิมโดยไม่ต้องซ์้อจานดาวเทียม รอถึงวันที่ ทีวีดิจิตอลออกอากาศจริงๆจังๆ ก็กะว่าจะหาซื้อทีวีเครื่องใหม่ที่มาพร้อมกับ DVB-T2 จูนเนอร์ในตัว หากไปด้อมๆมองๆตามร้านขายทีวีจะเห็นว่าจอ LED ราคาจะสูงกว่า LCD ส่วนจอ พลาสมายังพอมีขายแต่ถูกกว่าสมัย 7 หรือ 8 ปีที่แล้วเยอะมาก พนักงานก็มาเชียร์ว่าอย่างโน้นดีกว่าอย่างนี้ อย่างนี้ดีกว่าอย่างนั้น จะตัดสินใจซื้อแบบไหนดี
เราจะพบว่าในแง่ข้อมูลทางเทคนิคแล้ว ทางผู้ผลิตไม่ได้ทำการประชาสัมพันธ์อะไรมาก เพราะเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปมากในหลากหลายด้าน แค่เรื่องการทำงานของหน้าจอเรื่องเดียวก็คงต้องแจกใบปลิวกันเป็นกองพะเนิน ไม่รวมถึงการที่จะต้องอธิบายถึงระบบเสียง ระบบการทำงานของจอสามมิติ สารพัดเทคโนโลยี ทำให้ผู้ผลิตอาศัยขายรูปร่างหน้าตาของตัวสินค้าเสียมากกว่า หากลูกค้าอยากถามอะไรก็ให้คนขายอธิบายเองแล้วกัน ซึ่งพนักงานขายเองความรู้ก็อาจจะยังไม่ถึงขั้น วันไหนท่านผ่านร้านขายทีวีแล้วลองถามพนักงานขายดูซะครับว่า LCD กับ LED มันทำงานต่างกันอย่างไร เชื่อขนมกินได้เลยว่าพนักงานต้องอึ้งไปซักพักแล้วอาจจะตอบมาว่า LED ชัดกว่า อ้าวเป็นงั้นไป
เราเลยจะพบว่าพนักงานขายมุ่งแต่จะเชียร์สินค้าที่อาจจะได้ค่าคอมสูง หรือไม่ถ้าบริษัทส่งมาประจำตามห้างก็จะเชียร์ยี่ห้อของตัวเอง อย่าถามเลยเรื่องเทคนิค เขาตอบไม่ได้ ตกลงจะทำอย่างไรกันละเนี่ย
ทีวีที่ไม่ควรจะซื้อมาใช้แล้วแม้จะถูกแสนถูก
ทีวีที่ว่านั้นยังเห็นมีวางขายอยู่ตามห้างใหญ่ๆ เป็นระบบอนาลอกจอแก้วหรือทางเทคนิคเรียกว่า CRT เป็นทีวีหลอดภาพซึ่งเทคโนโลยีมาถึงจุดจบของมันแล้วเหมือนเครื่องเล่นวีดีโอใช้เทปที่แทบหาซื้อไม่ได้แล้วในปัจจุบันยกเว้นทางอินเตอร์เน็ต ทีวีแบบนี้จะมีน้ำหนักมาก จอจะไม่ค่อยแบน แต่ให้แสงสว่างออกมาดี พร้อมมุมมองที่กว้างกว่าจอ LCD ที่ออกมาในช่วงแรกๆ
แต่ก็นั่นแหละท่านจะซื้อมาวางให้หนักบนโต้ะทำไม จะแขวนผนังก็ยุ่งยากต้องมีโครงเหล็กหุ้มที่รับน้ำหนักได้เยอะๆ และคงเหมาะกับการที่มีราคาอยู่ในหลักต่ำกว่า 5000 และกรณีที่ต้องวางทีวีไว้ในสถานที่ๆเสี่ยงต่อการถูกขโมยเท่านั้น
ระบบของทีวีเหล่านี้แม้บางรุ่นอาจจะเป็นดิจิตอลก็จริงแต่ระบบรับสัญญาณจากเสาอากาศยังเป็นระบบอนาลอกอยู่ ซื้อทีวีเหล่านี้ก็ต้องซื้อกล่องเพิ่ม เปลืองสาย เปลืองช่องปลั้กอีกต่างหาก
ทีวีความคมชัดสูง
ปัจจุบันตามห้างร้านก็มีขายแต่ทีวีความคมชัดสูงแล้วทั้งนั้น เพราะราคาก็ไม่ได้แพงมากแล้วในตอนนี้ คาดกว่าทีวีความคมชัดธรรมดาคงจะหายไปจากตลาดในอีกไม่ช้า ยกเว้นรุ่นจอขนาดใหญ่ๆ ที่ทีวีความคมชัดสูงอาจจะยังแพงอยู่ และจากการที่ กสทช กำหนดว่าไทยเราจะมีทีวีความคมชัดสูงถึง 7 ช่อง ก็น่าจะกระตุ้นให้ประชาชนหาเครื่องรับที่มีความคมชัดสูงกันมาก
ทีวีแบบจอ Plasma
โทรทัศน์จอแบนในยุคแรกๆจะออกมาในลักษณะของจอแบบพลาสมา หลักการทำงานก็คล้ายๆกับไฟนีออน คือในแต่ละช่องการแสดงผลหรือพิกเซลจะมีก๊าซอยู่ข้างใน เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านเข้ามาที่พิกเซลนั้นๆ ก็จะปล่อยแสงออกมา เราเรียกกระบวนการแตกตัวของอนุภาคและเปล่งแสงออกมาว่าเป็น plasma
ในแต่ละพิกเซลก็จะมีการแบ่งออกเป็นช่องย่อยเล็กๆเพื่อให้เกิดสีพื้นฐานสามสี และจะได้ผสมสีออกมาให้เป็นสีธรรมชาดได้ ภาพที่ออกมาจากแต่ละเซลจะมีความเข้มโดยการควบคุมเวลาที่ใช้ในการให้แสง เทคโนโลยีนี้นิยมกันมากเมื่อราว 10 ปีก่อนและมีราคาแพง เพราะจอ LCD สมัยโน้นยังไม่สามารถทำให้มีขนาดใหญ่ๆได้ (หรือทำได้แต่จะมีพิกเซลเสียเยอะ) โทรทัศน์แบบนีจะมีข้อเสียเรื่องแสงสะท้อนเพราะหน้าจอเป็นกระจกที่ต้องการความแข็งแรงที่จะกักเก็บก๊าซไว้ภายใน อีกทั้งน้ำหนักจะมากและจอมีความหนา และอาจจะเกิดสภาวะ Burned in คือมีเงาภาพถาวรหากเปิดภาพเดิมๆ ทิ้งไว้นานๆ
นอกจากนี้ยังเปลืองไฟมากว่าจอ LCD มาก แต่ข้อดีคืนในปัจจุบันราคาจะถูก และคิดว่าเริ่มจะหาซื้อยากแล้วเพราะ LCD, LED จะได้รับความนิยมมากกว่า
จอ LCD – Liquid Crystal Display
เป็นเทคโนโลยีผลึกเหลวทึบแสงที่ถูกประกบอยู่ระหว่างแผ่นฟิล์มบาง โดยผลึกเหลวจะทำหน้าที่เป็นเหมือนสวิทส์ปิดเปิดให้แสงผ่านไปตามการเรียงตัวของผลึกเมื่อมีสนามไฟฟ้ามาบังคับกับแต่ละพิกเซล แต่ละพิกเซลก็แบ่งย่อยเป็นสามส่วนเพื่อแสดงสีให้ได้ครบเช่นกัน จอ LCD สามารถให้ความละเอียดสูงแบบ HD (1920×1080) ได้ดี เทคโนโลยีทีวี LCD ได้รับความนิยมสูง สมัยก่อนที่ LCD ออกวางตลาดใหม่ๆ ก็ยังมีปัญหาเรื่องหน้าจอที่ผลิตจอใหญ่ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่ปัจจุบันปัญหาเหล่านั้นไม่มีแล้ว
จุดอ่อนของ LCD ก็อยู่ตรงที่การทำสีดำสนิทได้ไม่ดีเนื่องจากมีสีด้านหลังที่ไม่สามารถบังคับได้ 100% สีจึงไม่ตัดกันเข้ม สูญเสียความคมชัดหากแสดงผลภาพที่มีการเคลื่อนไหวเร็วเช่นฉากรถแข่ง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นอีกมาก ทำให้สามารถแสดงภาพที่มีความคมชัดได้ดีกว่าในอดีต ไม่ปัญหาเรื่องภาพเบลอ และกินไฟน้อย ซึ่งจอแบบนี้ก็ยังมีวางขายอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน เพราะราคาก็ไม่แพงเกินไป
จุดอ่อนของ LCD ก็อยู่ตรงที่การทำสีดำสนิทได้ไม่ดีเนื่องจากมีสีด้านหลังที่ไม่สามารถบังคับได้ 100% สีจึงไม่ตัดกันเข้ม สูญเสียความคมชัดหากแสดงผลภาพที่มีการเคลื่อนไหวเร็วเช่นฉากรถแข่ง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นอีกมาก ทำให้สามารถแสดงภาพที่มีความคมชัดได้ดีกว่าในอดีต ไม่ปัญหาเรื่องภาพเบลอ และกินไฟน้อย ซึ่งจอแบบนี้ก็ยังมีวางขายอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน เพราะราคาก็ไม่แพงเกินไป
จอ LED
ถือเป็นเทคโนโลยีน้องใหม่และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เลยมีทีวีทั้งแบบ LED (Light Emitting Diodes) และ OLED (organic – LED)
ความจริงแล้วทีวี LED ก็คือทีวีแบบ LCD แต่เปลี่ยนมาเป็นการให้แสงด้านหลังจากหลอดไฟแบบ LED แทนที่จะเป็นหลอดไฟนีออนแบบเดิม ซึ่งหลอดไฟใหม่นี้จะเป็นหลอดเล็กๆกระจายไปทั่วทั้งแผงจอ และสามารถคุมความเข้มแสงได้ ภาพที่ได้จึงออกมาสดใสกว่าเดิม สีดำสนิท และความสว่างก็มากกว่า แถมจอยังบางกว่าอีกด้วย
ความจริงแล้วทีวี LED ก็คือทีวีแบบ LCD แต่เปลี่ยนมาเป็นการให้แสงด้านหลังจากหลอดไฟแบบ LED แทนที่จะเป็นหลอดไฟนีออนแบบเดิม ซึ่งหลอดไฟใหม่นี้จะเป็นหลอดเล็กๆกระจายไปทั่วทั้งแผงจอ และสามารถคุมความเข้มแสงได้ ภาพที่ได้จึงออกมาสดใสกว่าเดิม สีดำสนิท และความสว่างก็มากกว่า แถมจอยังบางกว่าอีกด้วย
ส่วนจอ OLED นั้นจะใช้แผ่นฟิล์มออร์แกนิคประกบอยู่ระหว่างวัสดุตัวนำที่เป็นขั้วบวกและลบ โมเลกุลบนแผ่นฟิล์มนี้จะมีคุณสมบัติเป็นตัวนำที่แปรค่าเปล่งแสงได้ ดังนั้นจึงมีลักษณะเหมือนสวิสเปิดปิดแสงที่ความเข้มต่างๆกันได้ ทำให้ไม่ต้องอาศัยแสงฉากหลังแล้วอาศัยผลึกเหลวเป็นตัวปรับระดับความสว่างอีกต่อไปเพราะ OLED นั้นแต่ละ pixel จะเปล่งแสงในตัวเอง จึงได้ภาพที่สว่างกว่า คอนทราสดีกว่าแบบ LED ธรรมดา มุมรับชมยังกว้างกว่าเพราะไม่ต้องมีความหนาของผลึกเหลว ไม่มีแสดงสะท้ดนหน้าจอ กินไฟน้อย เครื่องก็บางกว่าเบากว่าทีวีแบบอื่นๆ
แต่ปัญหาคือความสว่างจะลดลงเรื่อยๆตามอายุการใช้งาน ซึ่งประมาณกันว่าอายุใช้งานน่าจะประมาณ 5 ถึง 7 ปี อย่างไรก็ตามเป็นที่คาดกันว่าการพัฒนาทางเทคโนโลยีคงจะสามารถก้าวข้ามปัญหานี้ได้อีกในไม่ช้า
หากพูดถึงทีวีที่ขายในปัจจุบันนี้ มีหลายแบบมากๆ อาจแบ่งได้เป็นหมวดประเภทต่างๆ คือ
ประเภทจอ ซึ่งมีหลายแบบ เช่น CRT, LCD TV, LED TV, Plasma TV
จอ Crt (Cathode Ray Tubes) |
จอ Crt (Cathode Ray Tubes) จอทีวีหรือจอคอมพิวเตอร์ยุคเก่า จอโค้ง หลังตุง ใช้พื้นที่มาก ให้กำลังความสว่างของจอมากๆ ถ้ามองนานๆอาจแสบตาได้ มีมุมมองกว้าง ใช้งานตั้งแต่ยุคทีวีขาวดำ จนถึงทีวีสี แต่ปัจจุบันกำลังเลิกเป็นที่นิยม เพราะใช้พื้นที่มาก กินไฟเยอะ และ เพื่อไปซื้อจอที่ถนอมสายตากว่า ซึ่งปัจจุบันมีตัวเลือกมากมายเช่น จอ LCD , LED , Plasma TV
จอ LCD (Liquid Crystal Display) |
จอ LCD (Liquid Crystal Display) ใช้อย่างแพร่หลายมาก โดยแรกเริ่ม จอ LCD จะนิยมเป็นจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งผลิตแบบจอบาง ไม่มีแบบหลังตุงแล้ว ระดับการแสดงผล ที่สบายตา ประหยัดพื้นที่ และกินไฟน้อยด้วย แต่การแสดงดีใช่ว่าจะแสดงผลภาพ ได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะจอดำๆ จะเห็นบางอย่างที่แสงขาวสว่างอยู่ ชมได้องศาน้อยกว่า CRT เวลามองข้างๆจะมองไม่ชัด หน้าเราต้องตรงกับหน้าจอเท่านั้น แต่ตอนนี้ LCD เป็นมาตรฐานยอดนิยมของจอทีวีและจอคอมพิวเตอร์ไปแล้ว
จอ Plasma TV |
จอ Plasma TV เป็นจอทีวีที่สามารถกำเนิดแสงได้เอง กล่าวคือ เพียงแค่ปล่อยแรงดันไฟเข้าไปกระตุ้นเม็ดพิกเซลก็จะส่องสว่างได้เอง ภาพคมชัดกว่า LCD และการแสดงผลภาพ เร็วๆได้ดีกว่า สามารถแสดงระดับพื้นสีดำได้ดีกว่า , มุมมองจอภาพที่กว้างกว่า LCD , การแสดงสีเป็นธรรมชาติ แต่ข้อเสียคือกินไฟ มีอาการ Burn In ได้ในบางช่วง และไม่สามารถชมทีวีชัดๆได้ในตอนเวลากลางวัน ต้องชมแบบที่มืดๆเวลากลางคืนเท่านั้น
LED TV (Light Emitting Diode) |
LED TV (Light Emitting Diode) ออกมาทดแทนเทคโนโลยี LCD เป็นหลอดไฟขนาดจิ๋ว 3 สีคือ แดง เขียวและน้ำเงิน และแค่ 1 หลอดก็สามารถเปล่งแสงสีได้มากมายตามการผสมสีของแม่สีทั้งสาม ซึ่งเจ้าหลอด LED นี้มีคุณสมบัติพิเศษก็คือกินไฟน้อย แต่กลับให้สีสันที่ชัดเจนมีความสว่างสูง ให้สีดำที่ดำสนิท และมีอัตราการตอบสนองรวดเร็ว ข้อเสียมีแค่อย่างเดียวคือราคาแพง แต่เรื่องราคาแพงแต่ได้ด้วยภาพคุณภาพสูง LED จึงได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดย LED แบ่งได้เป็น 3 ประเภทย่อยคือ
Full LED (Direct LED) หน้าจอทีวีจะมีหลอด LED วางอยู่เต็มแผงจอซึ่งจะให้ความคมชัด และความต่างสีของภาพจะเด็ดขาดกว่าแบบแรกเพราะสามารถทำ Local Dimming หรือการปิดสีแบบเป็นกลุ่มได้
RGB LED ปัจจุบัน LED ชนิดนี้จัดเป็นตัวท็อปของ LED เลยทีเดียว เพราะใช้หลอด LED แม่สีทั้ง 3 คือ RGB (แยก3หลอดๆ ละสี) มาเรียงๆ กันเป็นกลุ่ม ทำให้การแสดงผลภาพและสีชัดเจนมีมิติมากกว่าทุกแบบที่กล่าวมาและแน่นอนว่าแพงกว่าทุกแบบด้วยเช่นกันเนื่องจากต้นทุนที่สูงกว่า
หมวดประเภทคุณสมบัติทีวี ซึ่งเห็นชัดเจน 2 รูปแบบคือ Smart TV กับ ทีวี 3มิติ
3D TV |
ทีวี 3 มิติ 3D หรือ 3 Dimension คือทีวีที่สามารถเห็นในลักษณะมิติ “ตื้น ลึก หนา บาง ลอย” อย่างเห็นได้ชัดเจน ถ้าเปรียบเทียบกับภาพ 2 มิติจากทีวีธรรมดาซึ่งเป็นภาพ “แบนๆติดจอ” แล้ว ความสมจริงของภาพ 3 มิตินั้นจะมีมากกกว่า ซึ่งประโยชน์ที่ได้ก็คือ ความสมจริง และ อรรถรส ในการรับชมที่มากกว่า เหมือนเรากำลังอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ แต่ทั้งนี้ก็ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยในการชมทีวี 3 มิติ นั่นคือ แว่นชมทีวี 3 มิติ ข้อเสียคือ หากชมโดยไม่ใส่แว่นอาจทำให้เสียสายตาได้ และราคาสูงกว่าทีวีทั่วไป โดยรูปแบบการแสดงผลทีวีแบบ 3มิติ มี 3 แบบคือ
Anaglyphic 3D หรือ ภาพ 3 มิติแบบแว่น 2 สี (Passive) คือ ทีวีที่คุณสามารถชมภาพ 3มิติได้ ใช้แว่นสีน้ำเงิน แดง ที่เคยใช้ส่องกันในอดีต
Polarized 3D หรือ ภาพ 3 มิติแบบ “สลับเส้นเลขคู่เลขคี่” (3DPassive) ซึ่งหลักการทำงานของมันก็คือ เ ราจะต้องมี 3D TV แบบ Polarized และแว่นตาแบบ Polarized Glasses ซึ่งจะเห็นได้กับทีวีบางรุ่นที่เป็นแว่น3มิติแบบไม่ต้องใส่ถ่าน และโรงหนัง IMAX ก็ใช้เทคโนโลยีนี้ในการฉายหนังด้วย
Frame Sequential 3D: ส่งเฟรมภาพซ้าย-ขวาสลับกัน (3D Active) ให้ภาพที่มีมิติ และคมชัดสูงเต็มอรรถรถ โดยแว่นสามมิตินั้นต้องใส่ถ่านเพื่อทำงานร่วมกับทีวี3มิติ ที่แสดงผล 3D Active อย่างลงตัว
Smart TV หรือทีวีอัจฉริยะ |
Smart TV หรือทีวีอัจฉริยะ คอนเซปก็คล้ายๆกับสมาร์ทโฟน ที่มีแอพพลิเคชั่นมากมาย ฟังก์ชั่นที่ให้มากกว่าการโทร ส่งข้อความ เป็นการผนวกความสามารถของทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ไว้ในจอเดียวกัน สามารถรับชมสิ่งๆต่างนอกเหนือจากทีวีได้ เช่น เล่นเกม , ดูวีดีโอ YouTube , โพส Facebook, Twitter , คุยกับเพื่อนผ่านทาง Skype , อ่านข่าวบนเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ผ่านทางทีวี พร้อมๆกับการรับชมรายการโทรทัศน์ปกติ และบางรุ่นจะรองรับการแสดงภาพแบบ 3มิติได้ด้วย โดยทีวีนี้จะต้องเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต บ้างก็เรียก Smart TV เป็น Internet TV คาดว่า ทีวีแบบ สมาร์ททีวี ที่มาพร้อม 3มิติ นี้จะราคาแพงกว่าทีวีที่รองรับเฉพาะแสดงผล 3 มิติ หรือ มีแต่ Smart TV อย่างเดียว
ประเภทการรับสัญญาณโทรทัศน์
เปรียบเทียบความคมชัด Digital Tv กับ Analog |
นอกจากปัจจัยเรื่องจอ และ การแสดงผลแล้ว ต้องมาคำนึงถึงระบบรับสัญญาณด้วย ซึ่งทีวีทั่วไปที่ตอนนี้รับสัญญาณกันคือ ระบบ Analogue แต่อีกไม่นานเรากำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุค Digital TV แล้ว โดยประเทศไทยจะใช้ ระบบDVB-T2 อันเป็นมาตรฐานใหม่ที่พัฒนามาจากแบบเดิม DVB-T ซึ่ง ทีวี ที่บอกว่าเป็น digital ทั้งหลายที่ขายมาก่อนหน้านี้ รวมถึงที่อยู่ที่บ้านของคุณผู้ชมด้วย ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนละมาตรฐานกับ Digital TV ของไทย ที่กำลังจะประมูล
มีข่าวดีบ้างสำหรับผู้ที่คิดจะซื้อทีวีใหม่ เพราะเริ่มเห็นทีวีรุ่นใหม่ๆที่รองรับ DVB-T2 กันแล้วจาก 4 ยี่ห้อหลัก….
แต่ถ้าคุณยังใช้ทีวีแบบเดิมต่อไป ซึ่งไม่รองรับ DVB-T2 ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเราสามารถเอาทีวีเครื่องเก่า ไม่ว่าจะแบบใด มาต่อเข้ากับ Set Top Box กล่องรับสัญญาณที่รองรับ DVB-T2 เพื่อรับชม Digital TV ได้ ส่วนใครที่ติดทีวีดาวเทียม ก็ยังสามารถรับชมได้ตามปกติ เคเบิ้ลด้วยก็เช่นกัน ยกเว้น ผู้ที่ติดเสาก้างปลา อาจต้องหันมาซื้อ กล่อง Set Top Box ที่ว่านี้มาใช้