แผงเทปออนไลน์
https://outdoclub.blogspot.com/2013/04/store-address-itunes-store-apple-itunes.html
"อุปกรณ์ฟังเพลงรอบตัวมันไม่ได้อ่านแผ่น CD อีกต่อไปแล้ว!" ...อุปกรณ์ฟังเพลงที่อยู่รอบตัวเราจริงๆ มันกลับกลายเป็น "โทรศัพท์มือถือ" อุปกรณ์มหัศจรรย์ที่ผู้ผลิตต่างยัดเยียดหน้าที่การทำงานอันหลากหลายอย่างให้กับมันกันเหลือเกิน ..ผมรู้สึกว่าโทรศัพท์เริ่มทำงานเกินหน้าที่ก็ตั้งแต่เมื่อปี2000 แล้วล่ะ ทันทีที่ผู้ผลิตติดกล้องเข้าไปให้มันจากนั้นก็ลามปามมาเรื่อย เป็น GPSแผนที่นำทาง, เป็นเกมพกพา, เป็น Sensor วัดชีพจร-อุณหภูมิ-ความชื้น ฯลฯ จนปัจจุบัน ก็สมกับคำที่ถูกเรียกแหละ "SmartPhone" หรือโทรศัพท์ฉลาด! (แต่กว่ามันจะฉลาดจริงๆ ผู้ใช้ใจร้อนก็ปาทิ้งไปหลายเครื่อง เพราะในอดีตระบบปฏิบัติการณ์ทำงานช้าเกิ๊น~)
คนยุคแผ่นเสียง, เทป, ซีดี จะมีเครื่องเล่นเป็นเสียงขนาดใหญ่ แต่ในยุคที่ไฟล์เพลงหาโหลดจากอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ อุปกรณ์เหล่านี้มีลำโพงอันจิ๊ดริด.. ใครโตมาแบบไหน ก็มักติดใจกับสิ่งนั้นนั่นแล...
จากการฟังอะไรดังๆ บนเครื่องเสียง Hi-End มาสู่อุปกรณ์ฟังเพลงแบบพกพาได้โดยไม่ขัดเขินเท่าไหร่นัก
วิเคราะห์จุดดี-จุดด้อยของแต่ละคลังเพลง เฉพาะ Store ที่เปิดให้บริการในเมืองไทยแล้วเท่านั้นและสามารถกดโหลด/กดสมัครในประเทศไทยได้เลยโดยตรงโดยไม่ต้องโมดิฟายด์ Address
ข้อดีคือ "ไฟล์เพลงที่ถูกเราซื้อแล้วมันจะเป็นของเราวันยังค่ำ" เราเป็นเจ้าของเพลงนั้นไปได้ตลอดกาล ถึงแม้ว่าเครื่องนั้นจะสูญหาย/พังไปแล้วก็ตาม ตราบใดที่เรายังสามารถ Log In ด้วย Apple ID เดิมก็ดาวน์โหลดได้ใหม่เมื่อต้องการ หรือโหลดไปลงในเครื่องที่ 2,3,4....ของเรา โดยไม่ต้องจ่ายเงินใหม่อีก สนนราคาต่อเพลงคือ 0.69-1.29 USD เมืองไทยเราได้รับการปรับราคาต่อเพลงให้ถูกกว่า iTunes US เพื่อให้ตอบรับกับค่าครองชีพ แต่ก็ไม่ได้ถูกทุกเพลง ต้องค้นกันดีๆ ข้อเสียคือคลังเพลงมีมากไม่เท่า Store ของ US และประเทศอื่นๆ หากคุณหวังจะเพลิดเพลินกับเพลงเทพนิยายค่าย Disney นี่ มีให้เลือกน้อยมาก และมีเพลง Cover ทำเทียมเยอะ อัลบั้มของศิลปินระดับตำนานถูกจัดไว้อย่างซ้ำซ้อน อัลบั้มที่คุ้มค่าที่สุด (เพลงเยอะ) อาจไม่ได้ถูกจัดอันดับไว้บนสุด หากคุณไม่ค้นดูดีๆ คุณจะพบว่าบางอัลบั้มที่คุณซื้อไปแล้วมีจำนวนเพลงไม่มากเท่ากับบางอัลบั้มของศิลปินคนเดิมซึ่งดันทะลึ่งขายราคาเท่ากัน ..ทำลูกค้าช้ำใจมั้ยนั่น!
Xbox Music : ใครมี WindowsPhone8 อยู่ในมือแล้ว อย่าลังเลที่จะทดลองบริการนี้ค ไมโครซอฟท์พยายามสร้างคลังเพลงนี้มานานแล้วตั้งแต่สมัยทำเครื่องเล่นเพลง Zune แข่งกะ iPod เพลงที่อยู่ในคลังจึงมีจำนวนมหาศาล เพราะมีครบถ้วน ระบบการขายก็มีให้เลือกถึง 2แบบคือจะซื้อไปเลยแบบ iTunes (เพลงละ 1.29 USD ) หรือจะสมัคร Subscription ฟังรายเดือนไปได้ชิลล์ๆ ไมโครซอฟท์ตั้งราคาเดือนละ 9.99 USD (300บาท) ถ้าสมัครรายปีก็ 99.99 USD (ค่ายนี้คิดรายปีด้วยสูตรคูณ 10 เดือน เหมือนได้แถม 2 เดือนเสมอ) หลักการคือมันจะเป็นการโหลดไฟล์เพลงลงเครื่องนั่นแหละแต่เมื่อเปิดฟังเครื่องจะเช็กกับระบบว่าเรายังคงอยู่ในสมาชิกภาพรึไม่? ซึ่งระบบทำได้ดีคือกดแล้วเพลงก็มาเลยไม่เสียเวลารอคอย (ส่วนใครเน็ตตัดก็ฟังไม่ได้) รูปแบบนี้ได้ทดลองเพลงใหม่ๆ ได้เรื่อยๆ เสีย 300/เดือน มันถูกกว่าราคาซีดีสากล 1แผ่นเสียอีก เพลงน่ะถ้าจะทดลองฟังมันต้องฟังทั้งเพลงไม่ใช่แค่ท่อนฮุก ...เสียดายที่ไมโครซอฟท์ไม่ได้ทำดีลใดๆ กับเพลงไทยไว้เลย
dtac Deezer : นับเป็นความพยายามของ dtac เบอร์2 ของผู้ให้บริการในไทยที่ต้องการผันบริษัทสู่ "Mobile Internet Company" เขาต้องทำอาชีพเสริมเป็น "พ่อค้าขายเพลงในโลกยุคใหม่" ด้วยการไปจับมือกับ Deezer ผู้ให้บริการ Music Streaming อันดับ 2 ของโลกจากฝรั่งเศส (เบอร์ 1คือ Spotify จากอเมริกา ยังไม่เข้าเมืองไทย) โดยคอนเซ็ปต์ Think-Search-Play (คิด-ค้น-แล้วเล่นเล๊ย!) เขาคิดว่าถ้าจะชนะผี ก็ต้องทำให้คนหันมาค้นเพลงในนี้แทน Google (ไม่งั้นเสร็จ 4Shared หมด!) dtac จึงเลือกไม่คิดค่าฟังเพลงแต่ไปสร้างแพ็กเกจโทร/SMS/data ที่เรียกว่า "แพ็กเกจ Deezer" แทน ลูกค้าเปิดแพ็กรายเดือนไว้ได้ค่าโทร, SMS, อินเทอร์เน็ตตามปกติ แต่ให้เข้าสู่คลังเพลงใหญ่ยักษ์นี้ได้ด้วย dtac เตรียมเพลงไว้ 20ล้านเพลงและแน่นอน "มีเพลงไทย" โดยได้รับความร่วมมือเกือบครบทุกค่าย จะขาดก็แต่อากู๋ไพบูลย์ที่ขอคิดดูก่อน (คิดออกเมื่อไหร่คงได้ "ร่วมวงไพบูลย์" กัน..ฮา) เนื่องจากสูตรการแบ่งรายได้ของ dtac คือนำเปอร์เซ็นต์ของการถูกเปิดฟังเพลงนั้นๆ มาหารกับรายได้ประจำเดือน ศิลปินคนใดถูกเปิดฟังมาก (เพลงฮิตนี่นา!) ก็ได้เงินจากกองมรดกมาก ซึ่งแฟร์มากและแปลกกว่าที่มีมา เพียงแต่ dtac จะจ๋อยหากคนไทยสมัครบริการน้อย ซึ่งตอนนี้ก็เห็นความพยายามบู๊ของ dtac กับ Deezer ผ่านสื่อ, Event มากขึ้น ผมสมัครมาตั้งแต่เดือนแรกก็รับรองว่าคุ้มครับเพราะไฟล์เพลงคุณภาพเสียงดี ดาวน์โหลดมาเก็บไว้ในเครื่องฟังแบบ Offline ได้ เครื่องต่อเน็ตเมื่อไหร่มันก็ส่งค่าการฟังของเราไปรายงานระบบเพื่อเขาจะได้ไปแบ่งรายได้กันต่อไป
ฟังเพลงเป็น มันต้องฟังเพลงแบบนี้ครับ! คือจ่ายให้กับคนทำเพลง ไม่ใช่ไปจ่ายให้คนปล่อยบิต-ทำโคโลฯ หรือพวกเดินมาตื้อตามถนน "เพ่ๆ MP3 มั้ยเพ่!?" หันมาฟังแบบนี้ดีกว่าครับ แล้วจะเข้าใจคำว่า "สุขกันเถิดเรา" ระหว่างเกิดสุนทรียะในการฟังเพลงมากขึ้นด้วย :)